Porsche Mission E: พละกำลัง 600 แรงม้า, สามารถขับเคลื่อนได้สูงสุดถึง 500 กิโลเมตร, ระยะเวลาการชาร์จไฟเพียง 15 นาที
เปิดตัวครั้งแรกของโลก ยนตกรรมต้นแบบพลังงานไฟฟ้า 4 ที่นั่งจาก ปอร์เช่
Holograms ปรับหน้าจอให้สัมพันธ์กับตำแหน่งของผู้ขับขี่โดยอัตโนมัติ
พละกำลัง: สูงสุดกว่า 600 แรงม้า ด้วยเทคโนโลยีจากสนามแข่ง
ต้นกำเนิดพละกำลังของ Mission E อยู่ภายใต้หลักการพัฒนาของปอร์เช่ ซึ่งได้รับการพิสูจน์จากสนามแข่ง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อนแบบ Permanent magnet synchronous motors (PMSM) ได้รับการติดตั้งเช่นเดียวกับในรถแข่ง 919 ไฮบริด (919 hybrid) ผู้ชนะจากรายการ Le Mans โดยมอเตอร์ดังกล่าวทำหน้าที่ขับเคลื่อนและประจุพลังงานคืนกลับให้แก่รถ ซึ่งผ่านการทดสอบจากรถยนต์ปอร์เช่ ด้วยสมรรถนะสูงสุดตลอด 24 ชั่วโมงของการแข่งขัน สามารถคว้าชัยในตำแหน่งชนะเลิศ ที่ 1 และ 2 เมื่อจบการแข่งขัน ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อนทั้งสองผลิตกำลังสูงสุดกว่า 600 แรงม้า ส่งผลให้ Mission E มีอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง ไปยังความเร็วที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในระยะเวลาเพียง 3.5 วินาที และต่อเนื่องไปยังความเร็ว 200กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในระยะเวลา 12 วินาที นอกเหนือจากประสิทธิภาพการทำงานและพละกำลัง ยังมอบความล้ำหน้ายิ่งกว่าระบบขับเคลื่อนด้วยระบบขับเคลื่อนโดยไฟฟ้า จากความสามารถในการถ่ายทอดกำลังสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง ในสภาวะการใช้งานหลากหลายรูปแบบ เหนือชั้นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อพร้อม Porsche Torque Vectoring ซึ่งทำหน้าที่กระจายแรงบิดที่เหมาะสมไปยังทั้ง 4 ล้ออย่างอิสระ เพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้นผิวถนน และระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ ที่ให้ความแม่นยำในการควบคุมพวงมาลัย ทั้งหมดนี้สรรสร้างให้ Mission E โลดแล่นไปบนสนามแข่งได้อย่างยอดเยี่ยม และสามารถทำเวลาต่อหนึ่งรอบ ณ สนาม Nürburgring Nordschleife ต่ำกว่า 8 นาที
รถสปอร์ตใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน: ความเร็วและความสะดวกสบายในการชาร์จไฟ, สามารถขับเคลื่อนได้สูงสุดถึง 500 กิโลเมตร
ไม่เพียงคงไว้ซึ่งความเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงของปอร์เช่ แต่ยังคำนึงถึงการใช้งานในชีวิตประจำวันMission E สามารถขับเคลื่อนด้วยระยะทางสูงสุดถึง500 กิโลเมตร โดยการชาร์จไฟเต็มเพียงหนึ่งครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นสามารถขับเคลื่อนถึง 400 กิโลเมตร ด้วยการชาร์จไฟเพียง 15 นาทีเท่านั้น ความสะดวกสบายเหล่านี้เกิดขึ้นจากนวัตกรรมระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าขนาด 800 โวลต์ ของปอร์เช่ ให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าเป็นทวีคูณเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนขนาด 400 โวลต์ ความเหนือชั้นดังกล่าวทำให้เกิดข้อได้เปรียบมากมาย ได้แก่ ระยะเวลาในการชาร์จไฟสั้นลง น้ำหนักโดยรวมลดลง อันเนื่องมาจากใช้สายไฟน้อยลงในการถ่ายทอดพลังงาน ชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์ด้านหน้าของประตูรถฝั่งซ้ายสามารถเลื่อนเปิด/ปิดได้ เป็นตำแหน่งติดตั้งจุดชาร์จไฟของระบบ “Porsche Turbo Charging” ผ่านจุดเชื่อมต่อสำหรับแรงเคลื่อนไฟฟ้า 800 โวลต์ ทำให้สามารถประจุไฟฟ้ากลับไปยังแบตเตอรี่ได้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ด้วยระยะเวลาเพียง 15 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ถือเป็นสถิติของรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เพิ่มทางเลือกในการชาร์จไฟด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อกับสถานีชาร์จขนาด 400 โวลต์ หรือเลือกวิธีการชาร์จไฟอันแสนสะดวกสบายภายในโรงรถที่บ้าน ด้วยระบบชาร์จไร้สายแบบเหนี่ยวนำ เพียงจอดรถบนพื้น ที่ติดตั้งระบบดังกล่าว รถยนต์จะได้รับการชาร์จไฟผ่านใต้ท้องรถโดยไม่ต้องติดตั้งสายชาร์จแต่อย่างใด
พื้นฐานการพัฒนารถสปอร์ตของปอร์เช่ ให้ความสำคัญต่อการกระจายน้ำหนักที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้รถยนต์มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ แบตเตอรี่แบบ lithium-ion ได้รับการติดตั้งไว้กับพื้นตัวถังรถด้วยเทคโนโลยีล่าสุด วางตามแนวความยาวระหว่างแกนล้อหน้าและแกนล้อหลัง กระจายน้ำหนักไปยังแกนล้อทั้งคู่อย่างเป็นสม่ำเสมอ สร้างความสมดุลย์ให้กับตัวรถ ส่งผลให้เกิดจุดศูนย์ถ่วงต่ำสุด เพิ่มประสิทธิภาพและการตอบสนองในการบังคับควบคุมแบบสปอร์ต ตัวถังผลิตจากการผสมผสานของวัสดุ อลูมิเนียม เหล็กและคาร์บอน ไฟเบอร์เสริมแรงด้วยโพลิเมอร์ โดยล้อคู่หน้าขนาด 21
นิ้วและคู่หลังขนาด 22 นิ้วของ Mission E ได้รับการผลิตจากวัสดุคาร์บอน
การออกแบบ: สายพันธุ์รถสปอร์ตอันน่าหลงใหลจากปอร์เช่
ภายใน: ปลอดโปร่ง ด้วยเบาะนั่งอิสระ 4 ตำแหน่ง
ภายในของ Mission E แสดงให้เห็นถึงปรัชญาการออกแบบทั้งหมดของรถยนต์ปอร์เช่ ในอนาคต ความปลอดโปร่ง ประติมากรรมที่เรียบง่าย ให้ความอบอุ่นแก่ผู้ขับขี่ในการใช้งานทุกๆ วัน แนวคิดของการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าส่งผลให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ของวิธีการออกแบบภายในรถยนต์ เมื่อไม่ต้องใช้พื้นที่สำหรับติดตั้งชุดเกียร์ เปิดโอกาสให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขึ้น สร้างความปลอดโปร่ง และบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เบาะนั่งแบบ Race bucket seats น้ำหนักเบา ติดตั้งแบบอิสระทั้ง 4 ตำแหน่ง ให้ความโอบกระชับแก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร คอนโซลกลางแนวโค้ง เพิ่มพื้นที่ภายใน ซึ่งติดตั้งต่อเนื่องเป็นชิ้นเดียวกันกับคอนโซลหน้า
นวัตกรรมที่เปิดสัมผัสใหม่ในการควบคุมให้แก่ผู้ขับขี่ ถูกสร้างขึ้นสำหรับยนตกรรมสปอร์ตแห่งอนาคต เส้นสายของชุดแผงควบคุมโค้งมน วางตำแหน่งติดตั้งต่ำ หน้าปัดเรือนไมล์แบบวงกลม 5 วง แสดงภาพผ่านหน้าจอด้วยเทคโนโลยี OLED บ่งบอกถึงความเป็นปอร์เช่อย่างถ่องแท้ ด้วยการทำงานของ Organic light-emitting diodes สามารถแสดงรูปแบบของชุดหน้าปัดให้สัมพันธ์กับลักษณะการขับขี่ในขณะนั้น ตามโหมดการขับขี่ทั้ง 4 โหมด คือ Performance, Drive, Energy และ Sport Chrono นวัตกรรมการควบคุมผ่านระบบ Eye-tracking ควบคุมจากสายตาผู้ขับขี่ผ่านกล้องภายในรถ ผู้ขับขี่สามารถอ่านค่าต่างๆ บนแผงหน้าปัด ด้วยการเลือกเมนูจากปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย ซึ่งจะทำงานประสานกับระบบ Eye-tracking ไม่เพียงเท่านี้ แผงควบคุมจะทำการปรับเปลี่ยนทิศทางให้มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนตำแหน่งการนั่ง ให้ต่ำลง สูงขึ้น หรือ เอียงไปยังฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แผงควบคุมสามมิติ สามารถเปลี่ยนตำแหน่งตามมุมมองของผู้ขับขี่เพื่อตัดปัญหาจากแผงหน้าปัดที่ถูกบดบังด้วยวงพวงมาลัย และจำกัดการมองข้อมูลในการขับขี่ที่สำคัญ เช่น ความเร็วของรถ ก็จะอยู่ในสายตาของผู้ขับขี่ตลอดเวลา
Mission E สามารถตรวจวัดความสนุกสนานในการขับขี่ กล้องที่ติดตั้งบริเวณกระจกมองหลัง ทำการตรวจสอบลักษณะของความพึงพอใจจากผู้ขับขี่ที่เกิดขึ้น และแสดงข้อมูลเป็นสัญลักษณ์ Emoticon ที่แผงหน้าปัด ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ผู้ขับขี่เกิดความพึงพอใจอันได้แก่ เส้นทาง หรือความเร็วที่ใช้ จะได้รับการเก็บบันทึกไว้ สามารถนำข้อมูลดังกล่าวแชร์ไปยัง Socialmedia ผ่านระบบสื่อสารได้อีกด้วย
จอแสดงผล Holographic พร้อมการควบคุมด้วยGesture control
ขอบเขตพื้นที่และจำกัดระยะเวลาการทำงานของDigital key ดังกล่าวได้ตามต้องการ
ภาพจากกระจกมองข้างแบบเสมือนจริงจากกล้องที่ได้รับการติดตั้งด้านข้างของตัวรถ แสดงให้ผู้ขับขี่เห็นที่มุมด้านล่างทั้งสองฝั่งของกระจกบังลมหน้า เพิ่มมุมมองของภาพและสภาพแวดล้อมตัวรถให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถแสดงข้อมูลด้านความปลอดภัยอื่นๆ ผ่านภาพดังกล่าวอีกด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น