กลยุทธ์เพื่อการคว้าชัยใน Le Mans: การแข่งขันสุดท้าทายกับหลากหลายสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมาย



การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการ Le Mans 24 ชั่วโมง LMP1



สตุ๊ดการ์ท. ปอร์เช่มีกำหนดเข้าร่วมลงแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ รายการ Le Mans 24 ชั่วโมง ในวันที่ 18 และ 19 มิถุนายนนี้ นับเป็นการลงสนามฤดูกาลที่ 3 ของรถแข่งปอร์เช่ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) เพื่อป้องกันตำแหน่งแชมป์ในรายการ Le Mans และ FIA World 
Endurance Championship (WEC) ซึ่งถือได้ว่าเป็นการแข่งขันที่มีชื่อเสียงมายาวนาน รวมทั้งมีความสำคัญที่สุดรายการหนึ่ง จากเกียรติประวัติการคว้าชัยชนะในรายการนี้ทั้งหมดถึง 17 ครั้ง ปอร์เช่จะยังคงทำหน้าที่จารึกสถิติเพิ่มเติมไว้ที่สนาม Circuit de la Sarth แห่งนี้ ทั้งในฐานะตำแหน่งผู้นำประเภทโรงงานผู้ผลิตและประเภทนักแข่ง สำหรับการชิงแชมป์ประจำฤดูกาล 2016


แน่นอนว่าย่อมต้องมีแรงกดดันมหาศาลเกิดขึ้น ก่อนการแข่งขันเริ่มต้น เพื่อเป็นการรับมือสถานการณ์ดังกล่าว กลยุทธที่จะใช้ในการแข่งขันจึงได้ถูกกำหนดขึ้น จากการควบคุมที่เข้มงวดที่สุด โดยทีมงานปอร์เช่ทุกคน ไม่เพียงบรรดานักแข่งของทีมซึ่งประกอบไปด้วย Timo 
Bernhard (DE) Brendon Hartley (NZ) และ Mark Webber (AU) ในรถแข่งหมายเลข 1 รวมทั้ง Romain Dumas (FR) Neel Jani (CH) และ Marc Lieb (DE) ในรถแข่งหมายเลข 2 เท่านั้นที่จะต้องปฎิบัติตามแผนอันซับซ้อน แต่ทีมงานยังต้องคิดคำนวณเพื่อรองรับองค์ประกอบอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันอีกด้วย 

 

ผู้รับบทบาทสำคัญ:

Andreas Seidi หัวหน้าทีมแข่งปอร์เช่ชาวเยอรมัน ผู้ได้รับสมญานามเจ้าแห่งกลยุทธ ทำงานร่วมกับ Chief Race Engineer StepheMitas (AU) Strategy Engineer Pascal Zurlinden (FR) Vehicle Race Engineer Kyle Wilson-Clarke (GB,รถแข่งหมายเลข 1) และ Jeromy Moore (AU, รถแข่งหมายเลข 2) ทั้งหมดนี้รับบทบาทสำคัญในการกำหนดแผนการแข่งที่เหมาะสมที่สุด ด้วยลักษณะเดียวกับการวางกลยุทธตามสถานการณ์ของเกมหมากรุก อย่างไรก็ตาม เมื่อรถแข่งออกตัวจากจุดสตาร์ทไปแล้ว ย่อมเป็นการยากที่จะคาดการณ์ในสิ่งที่เกิดขึ้น คำตอบของคำถามทั้งหมดเพื่อเอาชนะการแข่งขันนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่ถูกต้องในแต่ละสภาวการณ์ที่ต้องเผชิญ

 


ปัจจัยที่ 1: การเติมน้ำมันเชื้อเพลิง


ข้อจำกัดแรกที่ต้องคำนึงถึงในการกำหนดกลยุทธเพื่อการแข่งขัน คือระยะทางที่รถแข่งเสียไปในการหยุดเพื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละครั้ง หลังจากที่ทาง WEC ได้ออกกฎข้อบังคับกำหนดค่าอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดต่อรอบสนามแข่งขัน ทำให้ทีมงานสามารถคำนวณระยะเวลาที่แน่นอนในการหยุดเพื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ซึ่งรวมไปถึงระยะเวลาของคู่แข่งขันคันอื่นเช่นกัน โดยระยะทางต่อรอบสนาม 13.629 กิโลเมตร ของรายการ Le Mans นั้น รถแข่งปอร์เช่ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) สามารถวิ่งได้สูงสุดถึง 14 รอบ ต่อการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเต็มถัง 62.5 ลิตร

 

แต่ในระหว่างการแข่งขันตลอดเวลากว่า 24 ชั่วโมง การวิ่งให้ครบระยะทาง 14 รอบสนามนั้นแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ ทีมแข่งจึงต้องเน้นไปที่วัตถุประสงค์หลักคือกากำหนดแผนการให้รถแข่งวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจนถึงหยดสุดท้าย เนื่องจากการเหลือปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงในถังน้อยลงเท่าไหร่ ย่อมหมายถึงน้ำหนักรวมของตัวรถแข่งที่น้อยลง และในทางกลับกันรถแข่งจะสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วที่มากขึ้นนั่นเอง นี่คือสาเหตุที่ในบางครั้งทีมงานจะทำการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เต็มถัง โดยปริมาณน้ำมันที่เหมาะสมที่สุดจะต้องผ่านการคำนวณด้วยความแม่นยำอย่างสูง ในกรณีที่การแขงขันดำเนินไปจนจบโดยปราศจากเหตุการณ์ไม่ปกติใดๆ รถแข่งจะสามารถวิ่งถึงจุดหมายได้ด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอยู่ในถัง แต่ถึงอย่างไร แค่เพียงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศหรือองค์ประกอบเล็กน้อยก็ตาม อาจส่งผลกระทบต่ออัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนยางเพื่อวิ่งบนถนนเปียก (rain tyres)เหตุการณ์ดังกล่าวต้องได้รับการตัดสินใจที่รวดเร็วในเสี้ยววินาที จากการอาศัยข้อมูลสนับสนุนของโปรแกรมจำลองสถานการณ์ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจาก Zurlinden ผู้รับหน้าที่ Strategy Engineer โดยการประมวลผลข้อมูลทั้งจากรถแข่งปอร์เช่เองและการสังเกตการณ์รถของคู่แข่งทีมอื่นๆ รวมถึงการคาดเดาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป

 


ปัจจัยที่ 2: การเปลี่ยนยาง

 

ตัแปรพื้นฐานสำคัญลำดับที่ 2 ในการนำมาใช้ประกอบการวางแผนกลยุทธสำหรับเอาชนะการแข่งขัน คือกราฟแสดงสมรรถนะของยางรถยนต์ ซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงของวิศวกรผู้มีความเชี่ยวชาญจาก Michelin การสึกหรอของยางนั้น ส่งผลโดยตรงกับระยะเวลาต่อรอบสนาม ที่รถแข่งสามารถทำได้ ทั้งนี้การเสือมสภาพของยางจะได้รับการนำมาคิดคำนวณเพื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาที่สูญเสียไปในขณะหยุดเข้าพิทเพื่อทำการเปลี่ยนยาง ประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้นถนนของยางนั้นไม่ได้ลดลงในลักษณะคงที่ตลอดเวลา ในบางครั้งยางอาจสูญเสียการยึดเกาะด้วยการวิ่งเพียงไม่กี่รอบสนาม แต่หลังจากนั้นสมรรถนะของยางอาจจะกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากน้ำหนักรวมของรถแข่งที่เบาลงตามระยะทางที่ผ่านไปทุกรอบสนาม ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบกับอายุการใช้งานของยาง 
Andreas Seidi ให้ความเห็นว่า “ในการแข่งขัน Le Mans ฤดูกาล 2015 ที่ผ่านมา รถแข่งปอร์เช่สามารถวิ่งได้ระยะทางมากที่สุด 54 รอบสนามด้วยยาง 1 ชุด นั่นหมายความว่า เราจะต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงถึง 3 ครั้งโดยที่ไม่มีการเปลี่ยนยาง ดังนั้นประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนของยางจึงมีโอกาสเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอยู่ตลอด ตั้งแต่ดีที่สุดจนถึงแย่ที่สุด ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงในถังนั่นเอง โดยผลกระทบจากยางทำให้สูญเสียเวลาต่อรอบเพิ่มขึ้นประมาณ 1.6 วินาที จะเห็นได้ว่าเพียงความแตกต่างของน้ำหนัก 44 กิโลกรัมจากน้ำมันเต็มถังนั้น ส่งผลให้เราช้าลงเกือบ 2 วินาทีต่อรอบสนาม  

 

ความเร็วของรถแข่งที่วิ่งอยู่ในสนามและระยะเวลาที่ต้องหยุดเพื่อเข้าพิท มีผลอย่างมหาศาลต่อระยะทางที่รถแข่งสามารถทำได้ตลอดการแข่งขันอันดุเดือดทั้ง 24 ชั่วโมง ในฤดูกาล 2015 ทีมปอร์เช่ซึ่งคว้าชัยชนะในการแข่งขัน ต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมด 30 ครั้งต่อรถหนึ่งคัน เมื่อรวมเวลาเข้าและออกจากพิทแล้ว ระยะเวลารวดเร็วที่สุดอยู่ที่ 51.3 วินาที สำหรับระยะเวลาที่รวดเร็วที่สุดในการเปลี่ยนตำแหน่งผู้ขับขี่พร้อมด้วยการเปลี่ยนยางอยู่ที่ 1:13.9 นาที ทั้งนี้นักแข่งจะต้องขับรถแข่งจนกระทั่งถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนยาง การหยุดเข้าพิทเพียงเพื่อเปลี่ยนตัวนักแข่งนั้นถือเป็นการสูญเสียเวลาโดยไม่จำเป็น คำถามก็คือนักแข่งจะสามารถขับรถแข่งได้นานแค่ไหนโดยที่ไม่กระทบต่อความเร็วที่ทำได้?

 


ปัจจัยที่ 3: นักแข่ง

 

นักแข่งของเราทุกคนมีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ เปี่ยมไปด้วยความเป็นมืออาชีพ และมีความสามารถในการบังคับควบคุมรถแข่งได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตลอด 54 รอบสนามแม้ในเวลากลางคืน Seidi ยังเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า “อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องจับตามองไปที่ระยะเวลาที่นักแข่งอยู่กับตัวรถ” กฎข้อบังคับของการแข่งขันกำหนดระยะเวลาสูงสุดและต่ำสุดที่นักแข่งแต่ละคนจะสามารถขับรถแข่งของตนเองได้ ในการแข่งขัน Le Mans นักแข่งแต่ละคนจะต้องใช้เวลาในการขับรถอย่างน้อยที่สุด 6 ชั่วโมง แต่จะต้องขับต่อเนืองไม่เกิน 4 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนระยะเวลาสูงสุดอนุญาติไว้ที่ 14 ชั่วโมงตลอดการแข่งขัน โดยปกติแล้วมักจะไม่เกิดปัญหาอะไรสำหรับนักแข่ง แต่ในกรณีสุดวิสัยอย่างเช่น นักแข่งเกิดอาการปวดท้องกะทันหัน แผนการรับมือที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าจะถูกนำมาใช้เพื่อปรับแก้สถานการณ์ Seidi กล่าวว่า เราพยายามให้นักแข่งทุกคนรวมทั้งบรรดาทีมงานได้มีเวลาหยุดพักที่เหมาะสมจนกระทั่งจบการแข่งขัน เท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย

 

หัวหน้าทีมแข่งวิศวกร รวมทั้งนักแข่งทุกคน ต่างมีส่วนในการตัดสินใจว่าเมื่อใดควรจะส่งนักแข่งคนไหนเข้าประจำการในตำแหน่งหลังพวงมาลัย ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีหลายครั้งที่ความคิดเห็นไม่ตรงกัน ทีมงานจำเป็นต้องหาข้อยุติอย่างประนีประนอม เนื่องจากในการแข่งขันล้วนเต็มไปด้วยข้อจำกัดนานับประการก่อให้เกิดภาระหน้าที่และแรงกดดันมากมายที่ต้องกระทำให้บรรลุจนกว่ารถแข่งจะวิ่งผ่านเส้นชัย Seidi กล่าวต่อไปอีกว่า “เราพยายามวางแผนให้ทีมงานทุกคนรับหน้าที่อย่างเท่าเทียมกันที่สุด ภาวะของอารมณ์ที่ตึงเครียดจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฎิบัติงาน

 

 


ปัจจัยที่ 4: อุบัติเหตุ

 

ในการแข่งขันที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์อันคาดไม่ถึง โปรแกรมจำลองสถานการณ์ได้รับการนำมาใช้เพื่อช่วยในการคาดการณ์และรับมือสภาวะที่อาจเกิดขึ้นได้ ทีมงานทุกคนล้วนหวังว่าการแข่งขันจะสามารถดำเนินต่อไปโดยไม่มีอุปสรรคใด แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ข้อมูลอันมีค่าที่ได้รับจากการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์จะถูกจัดเตรียมไว้เพื่อจัดการกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดเดา ตัวอย่างเช่น เมื่อรถ safety car ออกวิ่ง ทีมงานควรจะใช้โอกาสนี้ในการนำรถแข่งกลับเข้าพิทเพื่อซ่อมบำรุงหรือไม่? โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลเพื่อลำดับสถานการณ์ต่างๆที่เป็นไปได้ในกรณีนำรถแข่งกลับเข้าพิท หากรถแข่งเกิดการปะทะกับรถคันอื่น แรงดันลมยางและอากาศพลศาสตร์ของตัวรถจะถูกตรวจสอบอย่างทันทีทันใด นักแข่งจะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นทางวิทยุสื่อสาร เพื่อให้ทีมวิศวกรรับทราบถึงชิ้นส่วนที่ได้รับความเสียหาย และเตรียมพร้อมในทุกสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อแก้ไขรถแข่งที่จำเป็นต้องวิ่งด้วยความเร็วเกินกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในส่วนที่เรียกกันว่า “Battle Room” สถานที่ซึ่งเป็นจุดประจำการของZurlinden ทั้งนี้ในบางครั้งอาจจำเป็นต้องอาศัยการตรวจสอบภาพช้าซ้ำๆ กันหลายครั้งเพื่อยืนยันว่ารถแข่งจำเป็นต้องกลับเข้าพิทหรือไม่

 


ปัจจัยที่ 5: ทีมงานในพิท

 

ทีมงานทุกคนที่ประจำอยู่ในพิท ต่างอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมเสมอ เพื่อรองรับการเข้าพิทของรถแข่งที่อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้ตลอดเวลาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแต่อย่างใด และแน่นอนว่าทุกคนต้องปฎิบัติงานด้วยความรวดเร็วที่สุด ในฤดูกาล 2015 ที่ผ่านมา ระยะเวลารวมที่รถแข่งปอร์เช่ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) ซึ่งเข้าร่วมแข่งขันที่ Le Mans ทั้ง 3 คันใช้ในการเข้าและออกจากพิท อยู่ที่ 95 นาที กับอีก 36 วินาที หากนำมาเปรียบเทียบกับทีมคู่แข่งที่ทำเวลาดังกล่าวได้ดีเป็นอันดับ 2 นั้นพบว่าใช้เวลา 130 นาที

 

Amiel Lindesay (NZ) รับหน้าที่ Crew Chief คือผู้ดูแลการปฺฎิบัติงานอันเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพดังกล่าว โดยเขาเรียกมันว่า การฝึกซ้อมเล็กๆ น้อยๆ  ด้วยการจำลองสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องเผชิญ การออกแบบและวางแผนตำแหน่งท่าทางในการปฎิบัติงานโดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุผลเดียวกันกับการแข่งรถ Formula 1 ซึ่งจำกัดจำนวนทีมงานซ่อมบำรุงที่สามารถเข้าถึงตัวรถได้ ก่อให้เกิดความยุ่งยากมากขึ้น กฎข้อบังคับที่มีรายละเอียดถึง 11 หน้ากระดาษนี้ได้รับการปรับให้มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นในฤดูกาล 2016 ทั้งยังรวมถึงการกำหนดจำนวนเจ้าหน้าที่เติมน้ำมันเชื้อเพลิงเพียง 2 ตำแหน่ง การกำหนดให้รถแข่งต้องอยู่บนล้อของตัวรถเองเมื่อเข้ารับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิง นั่นหมายความว่าทีมงานจะสามารถเปลี่ยนยางได้ต่อเมื่อการเติมน้ำมันเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น ขั้นตอนทั้งหมดจะต้องปฎิบัติด้วยเจ้าหน้าที่ของทีมแข่งไม่เกิน 4 คนพร้อมปืนลมสำหรับเปลี่ยนยางเพียง 1 ชุดเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ากฎข้อบังคับย่อมต้องมีรายการบทลงโทษสำหรับผู้กระทำผิด Lindesay ทำงานอย่างหนักในทุกขั้นตอนและทุกกระบวนการเพื่อพิจารณาว่าทีมงานแต่ละคนนั้นมีความเหมาะสมกับหน้าที่ใดมากที่สุด การทดสอบด้วยการจำลองสถานการณ์มากกว่า 250 ครั้งต่อฤดูกาลแข่งขันถูกจัดขึ้นในพื้นที่ปฎิบัติงาน รวมทั้งการทดสอบด้วยการลงแข่งขันจริงในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของทีมงานอีกด้วย ล้อรถที่ติดตั้งยางเรียบร้อยแล้วมีน้ำหนักที่ 19.9 กิโลกรัม ทีมช่างจึงจำเป็นต้องมีสภาพร่างกายที่แข็งแรง รวดเร็วว่องไว และเต็มไปด้วยความอดทน เพื่อพร้อมรับแรงกดดันมหาศาลในระหว่างการแข่งขัน

 

ไม่ว่าจะเป็นอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง การสึกหรอของยาง การเข้าพิทเพื่อซ่อมบำรุงและแก้ไขสิ่งที่เสียหาย ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทีมงานต้องนำมาคิดคำนวณด้วยความละเอียดรอบคอบ บางสิ่งบางอย่างอาจสามารถทำการทดสอบหรือฝึกฝนเพื่อเตรียมการรับมือ แต่แน่นอนว่าไม่มีกลยุทธใดที่สามารถรองรับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในการแข่งขันรายการ Le Mans 24 ชั่วโมงนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับสิ่งที่ Mark Webber นักแข่งของทีมปอร์เช่ได้กล่าวไว้ว่า Le Mans คือการแข่งขันที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย ก่อนที่คุณจะคิดถึงการเอาชนะคู่แข่งของคุณ คุณต้องคิดถึงการเอาชนะตัวเองให้ได้เสียก่อน

 



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

นิชคาร์กรุ๊ป รวมพลลูกค้าซุปเปอร์คาร์หรู จัดงานเลี้ยงปีใหม่ชื่นมื่น

พิธีเปิดบริษัท เท็น ฮอนด้า ออโตโมบิล จำกัด กล้วยน้ำไท โดยมีคุณกร ทัพพะรังสี ร่วมงาน

ซูซูกิ เปิดโชว์รูม Big Bike Central Bangkok ย่านพระราม 3 อย่างยิ่งใหญ่